• ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
• พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่จากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
• ร่วมเป็นเกียรติภายในงานฉลองความสำเร็จ โครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาวิสาหกิจชุมชนไทยสู่ความยั่งยืน เมื่อวันพุธที่ 19 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ Toyota ALIVE บางนา
• บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ริเริ่มโครงการ “โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 จากการที่โตโยต้าเล็งเห็นถึงความสำคัญของธุรกิจชุมชน ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และมุ่งหวังที่จะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหา ปรับปรุง และพัฒนาการดำเนินงานของธุรกิจชุมชนไทยให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มพูนกำไร และดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
• ตลอดระยะเวลา 11 ปี ที่ผ่านมา โครงการ “โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” ได้มีส่วนเข้าไปช่วยเหลือธุรกิจชุมชนในลักษณะของการเป็น “พี่เลี้ยงทางธุรกิจ” โดยการนำองค์ความรู้ “วิถีชุมชนพัฒน์ หรือ TSI Way” ผสมผสานร่วมกับแนวคิดภูมิปัญญาชุมชน ไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบท และความพร้อมของธุรกิจชุมชนนั้น ๆ และพัฒนาธุรกิจชุมชนให้มีประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดียิ่งขึ้น
• เริ่มจากการเข้าไปศึกษาดูกระบวนการทำงานจริงของธุรกิจ (GENCHI GENBUTSU) มองหาความสูญเปล่าในการดำเนินงานของธุรกิจ (MUDA) ปรึกษาหาแนวทางแก้ไขร่วมกันกับธุรกิจ พร้อมแนะนำวิธีการปรับปรุงพัฒนากระบวนการทำงานต่างๆ (KAIZEN) โดยใช้องค์ความรู้ด้านการผลิตของโตโยต้า (Just in Time, JIDOKA, Karakuri, etc.) ตลอดจนส่งเสริมการสร้างมาตรฐานเพื่อควบคุมคุณภาพให้สม่ำเสมอ (STANDARDIZE)
• มุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจใน 5 ด้านหลัก ทั้งในด้านผลิตภาพ (Productivity) คุณภาพ (Quality) การส่งมอบสินค้าที่ตรงเวลา (Delivery) การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory) และต้นทุนในกระบวนการ (Work in process) ซึ่งมีส่วนช่วยให้การดำเนินงานของธุรกิจเหล่านี้ มีการพัฒนาและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ และสร้างผลกำไร พร้อมทั้งมุ่งหวังให้ธุรกิจต่างๆ เหล่านี้สามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดพัฒนาและอยู่รอดได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน (JIRITSUKA)
• สำหรับความร่วมมือกันระหว่าง โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ถือเป็นการยกระดับการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้เป็นไปได้อย่างครบวงจร ครอบคลุมในทุกมิติของการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น ผ่านองค์ความรู้ด้านการผลิตที่เป็นจุดเด่นของโตโยต้า
• ขณะที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมซึ่งมีศักยภาพในการให้ความสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการไทย เป็นส่วนที่มาช่วยเติมเต็มการพัฒนาในด้านอื่นๆที่ผู้ประกอบการไทยต้องการ อาทิ ทักษะการบริหารจัดการของผู้ประกอบการ การตลาด การเงินการบัญชี การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ระบบโลจิสติกส์ ตลอดจนด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยีต่าง ๆ
• ในปีที่ผ่านมา โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้เข้าไปช่วยปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจชุมชน รวมทั้งสิ้น 9 แห่ง
• วิสาหกิจชุมชนแปรรูปข้าวและผลไม้น่าน จังหวัดน่าน
• วิสาหกิจชุมชนหนองหลวงม่วงไข่แปรรูปพริก จังหวัดแพร่
• วิสาหกิจชุมชนฮัซบีโรตีกรอบจิ๋ว จังหวัดสตูล
• วิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวเม่า จังหวัดบุรีรัมย์
• วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแคปหมูอิ่มสุข จังหวัดอุดรธานี
• วิสาหกิจชุมชนบ้านช่างสกุลบายศรี จังหวัดราชบุรี
• วิสาหกิจชุมชนแปรรูปมะม่วงสวนลุงบุญสมบ้านผารังหมี จังหวัดพิษณุโลก
• วิสาหกิจชุมชนเพชรคีรีโฮมสเตย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
• วันมอร์ไทยคราฟช็อกโกแลต จังหวัดนครศรีธรรมราช
• จนถึงปัจจุบัน โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ ได้มีส่วนเข้าไปช่วยเหลือปรับปรุง และพัฒนาการดำเนินงานของธุรกิจชุมชนไทยไปแล้วทั้งสิ้น 39 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ และสร้างผลกำไร คิดเป็นมูลค่ารวมได้กว่า 320 ล้านบาท พร้อมทั้งได้มีการยกระดับธุรกิจชุมชนที่มีผลการปรับปรุงเป็นเลิศ สู่การเป็น “ศูนย์การเรียนรู้โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” 6 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ครบทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
• สำหรับแนวทางการดำเนินงานของโครงการ โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ ต่อจากนี้ มีความมุ่งหวังที่จะยกระดับการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อช่วยปรับปรุง และพัฒนาธุรกิจชุมชนไทยให้ครอบคลุมครบทั้ง 23 ประเภทของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในประเทศไทย จากที่ในปัจจุบันทางโครงการได้มีส่วนในการเข้าไปช่วยปรับปรุงแล้ว 9 ประเภทด้วยกัน โดยเชื่อมั่นว่า ภายใต้ความร่วมมือกันของโครงการโตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมด้วยองค์ประกอบทางความรู้ต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทย ในการพัฒนาศักยภาพการขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองได้อย่างครบวงจร และช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งในกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และสร้างเสถียรภาพแก่เศรษฐกิจของประเทศต่อไป