6.21K
คนดูทั้งหมด
NEW NISSAN LEAF เตรียมพร้อมจำหน่ายในประเทศไทย

• • • Nissan Leaf (นิสสัน ลีฟ) ใหม่ล่าสุด มาพร้อมเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะ คือ ProPILOT, ProPILOT Park, e-Pedal

ProPILOT

• Nissan Leaf มีเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติในช่องจราจรเดียว ProPILOT เมื่อเทคโนโลยีนี้ทำงาน รถจะรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าได้โดยอัตโนมัติด้วยการใช้ความเร็วที่ผู้ขับขี่กำหนดไว้ล่วงหน้า (ระหว่าง 30-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

         เทคโนโลยีนี้ยังช่วยบังคับทิศทาง และรักษาตำแหน่งอยู่กึ่งกลางช่องจราจร เมื่อรถคันหน้าจอด ProPILOT จะสั่งการระบบเบรกโดยอัตโนมัติเพื่อให้รถหยุดนิ่งเมื่อถึงเวลาจำเป็น

         เมื่อรถหยุดนิ่งแล้ว ตัวรถจะไม่เคลื่อนที่ แม้ผู้ขับขี่จะยกเท้าออกจากแป้นเบรกก็ตาม

         การจราจรเคลื่อนที่ ตัวรถจะเริ่มขับเคลื่อนไปข้างหน้าเมื่อผู้ขับขี่กดสวิทช์อีกครั้งหรือเหยียบคันเร่งเบา ๆ เพื่อให้ระบบ ProPILOT เริ่มทำงาน

ProPILOT Park

• Nissan Leaf มีระบบจะช่วยเหลือผู้ขับขี่ในการจอดรถอย่างเต็มรูปแบบ โดยควบคุมการเร่ง เบรก พวงมาลัย การเปลี่ยนเกียร์ และเบรกมือ เพื่อให้ตัวรถเข้าสู่ช่องจอดได้โดยอัตโนมัติ ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีประมวลผลภาพด้วยการใช้กล้องความละเอียดสูงจำนวน 4 ตัว และข้อมูลจากเซ็นเซอร์อัลตราโซนิค 12 ตัว ที่ติดตั้งรอบคัน

         ProPILOT Park จะช่วยควบคุมรถให้เข้าสู่ช่องจอดได้อย่างปลอดภัย และแม่นยำ โดยระบบพวงมาลัย เบรก และคันเร่งทั้งหมดจะถูกควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติเพื่อการจอดหลากหลายรูปแบบ เช่น การจอดขนานกับทางเท้า ระบบจะคำนวณพื้นที่จอดรถได้โดยอัตโนมัติโดยที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องกำหนดเป้าหมายตำแหน่งที่จอด ด้วยการสั่งการง่าย ๆ เพียง 3 ขั้นตอน

e-Pedal

• Nissan Leaf ติดตั้ง e-Pedal เป็นอุปกรณ์มาตรฐานใหม่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกง่ายดายให้ผู้ขับขี่ในการออกตัว เร่งความเร็ว ลดความเร็ว หยุดนิ่ง และควบคุมตัวรถให้อยู่กับที่ด้วยการใช้แป้นคันเร่งอย่างเดียว ถือเป็นนวัตกรรมที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขับขี่ได้อย่างสิ้นเชิง  

         เพียงยกเท้าออกจากคันเร่ง ตัวรถจะลดความเร็วจนหยุดนิ่งได้อย่างนุ่มนวล โดยไม่จำเป็นต้องแตะแป้นเบรก ด้วยอัตราการลดความเร็วที่ไม่เกิน 0.2 จี e-Pedal ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องยกเท้าจากแป้นคันเร่งเพื่อเหยียบแป้นเบรกบ่อยครั้ง

         Nissan Leaf ยังมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยสุดล้ำ ทั้งระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องจราจร (Intelligent Lane Intervention) ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถออกจากช่องจราจร (Lane Departure Warning) ระบบเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking)

         Nissan Leaf มีระบบเตือนมุมอับสายตา (Blind Spot Warning) ระบบตรวจจับสัญญาณจราจร (Traffic Sign Recognition) ระบบเตือนการจราจรตัดขวางด้านหลัง (Rear Cross Traffic Alert)

         กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor) พร้อมการตรวจจับวัตถุเคลื่อนไหว และระบบช่วยเหลือฉุกเฉินขณะเหยียบคันเร่งโดยไม่ตั้งใจ (Emergency Assist for Pedal Misapplication)

e-powertrain

• หัวใจหลักของ Nissan Leaf คือระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า (e-powertrain) ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พร้อมกับมีแรงบิด และพละกำลังที่สูงขึ้น

         ระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ใน Nissan Leaf มอบสมรรถนะที่ต่อเนื่อง และเร้าใจด้วยการส่งกำลังที่ 110 กิโลวัตต์ มากกว่าเจนเนอเรชั่นก่อนหน้า 38 เปอร์เซ็นต์ มีแรงบิดเพิ่มขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์ เป็น 320 นิวตัน-เมตร ส่งผลให้มีอัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น

         แม้จะมีพละกำลังเพิ่มขึ้น Nissan Leaf ยังเพิ่มระยะทางขับเคลื่อนไกลมากขึ้นด้วยเช่นกัน ชุดแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชุดใหม่ ให้ระยะทางขับเคลื่อนตามมาตรฐานของประเทศญี่ปุ่น ที่ 400 กิโลเมตร 

         แบตเตอรี่ที่ได้รับการพัฒนา และออกแบบให้มีความจุพลังงานที่ดีขึ้น โดยยังมีขนาดเท่าเดิม ชุดแบตเตอรี่ดังกล่าวมีมิติเท่าเดิมทุกด้านเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า

         การปรับปรุงใหม่เกิดขึ้นภายในโครงสร้างแต่ละเซลล์ในแบตเตอรี่ลิเธีย-ไอออน ชนิดอัดซ้อน (laminated lithium-ion battery) ทำให้มีความหนาแน่นของพลังงานเพิ่มขึ้น 67 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับรุ่นปี 2010

         อีกหนึ่งพัฒนาการทางวิศวกรรมที่สำคัญของแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชุดนี้ คือการเพิ่มประสิทธิภาพวัสดุขั้วไฟฟ้าพร้อมการปรับปรุงเคมีใหม่ ทำให้มีความหนาแน่นของพลังงานสูงขึ้น พร้อมกับเพิ่มความทนทานของแบตเตอรี่ทั้งในขณะชาร์จ และคลายประจุไฟ

         สำหรับผู้ที่ต้องการขับขี่ Nissan Leaf ในระยะทางที่ไกลมากขึ้น นิสสันจะเปิดตัวรุ่น e+ ภายในปีหน้า รุ่น e+ จะมีระยะทางขับขี่ที่ไกลยิ่งขึ้น

Vehicle-to-Home

• Nissan Leaf เชื่อมต่อผู้ขับขี่ รถยนต์ และการสื่อสารผ่านระบบนิสสันคอนเน็กต์ (NissanConnect) ที่ง่ายต่อการใช้งาน และระบบที่จัดสรรพลังงานไฟฟ้าระหว่างรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากับที่พักอาศัย อาคาร และโครงข่ายไฟฟ้าต่าง ๆ

         ระบบ Vehicle-to-Home ทำให้แบตเตอรี่สามารถสะสมพลังงานให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากพลังงานส่วนเกินของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power) ในช่วงเวลากลางวัน เพื่อนำกระแสไฟฟ้ามาใช้งานภายในบ้านช่วงกลางคืน

         โดยผู้ใช้งาน Nissan Leaf สามารถชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่มีอัตราค่าไฟฟ้าต่ำสุดในบางประเทศ เพื่อนำมาใช้ในช่วงกลางวันเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน 

         ในบางประเทศที่มีระบบ Vehicle-to-Grid (V2G) เจ้าของ Nissan Leaf จะได้รับประโยชน์ต่าง ๆ จากบริษัทพลังงานที่ต้องการสร้างโครงข่ายไฟฟ้าที่มีความเสถียร เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้า 

         แอพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนของ Nissan Leaf ได้รับการดีไซน์ให้ผู้ใช้จะสามารถเรียกดูข้อมูลการชาร์จไฟฟ้าเข้าสู่รถยนต์ กำหนดเวลาชาร์จเพื่อความคุ้มค่าที่สุดในช่วงเวลาที่อัตราค่าไฟฟ้าต่ำ ค้นหาตำแหน่งสถานีชาร์จไฟฟ้า และการเปิดเครื่องปรับอากาศหรือฮีทเตอร์ไว้ล่วงหน้าก่อนขึ้นรถ

         ทีมวิศวกร Nissan Leaf ให้ชิ้นส่วนที่มีน้ำหนักมาก เช่น แบตเตอรี่จะถูกติดตั้งไว้บริเวณกลางตัวถัง เพื่อลดแรงเฉื่อย (Moment of Inertia) ได้ดีขึ้น หากเทียบกับรถยนต์ที่วางเครื่องยนต์ไว้ด้านหน้า จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุม และเข้าโค้งได้อย่างนุ่มนวล

         ระบบกันสะเทือนแบบทอร์ชั่น บาร์ ที่มีอัตราการยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ นอกเหนือจากนี้ชุดยางซับแรงกระแทกที่ใช้วัสดุยูรีเธนสำหรับระบบกันสะเทือนหลังได้ถูกแทนที่ด้วยวัสดุใหม่ที่ผลิตจากยางที่ช่วยลดแรงกระแทก และแรงสั่นสะเทือน 

         เมื่อต้องขับขี่บนสภาพถนนที่ขรุขระ โดย Nissan Leaf ยังมาพร้อมระบบควบคุมการขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Ride Control) เพื่อช่วยให้มอเตอร์ไฟฟ้ามีการทำงานที่แม่นยำมากขึ้นในการสร้างแรงบิดที่เหมาะสมเมื่อเข้าโค้ง ลดแรงสั่นสะเทือน พร้อมทั้งช่วยเพิ่มความสบายในการขับขี่ และการควบคุมพวงมาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

         Nissan Leaf ใช้ไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์แบบคู่ รองรับการทำงานทั้งไฟต่ำ และไฟสูง และเป็นครั้งแรกที่ติดตั้งในรถยนต์ของนิสสัน 

         ชุดไฟท้ายมีความโดดเด่นที่ทำให้ผู้คนที่พบเห็นสามารถจดจำ Nissan Leaf ได้จากระยะไกล

         การออกแบบใต้ท้องรถ และกันชนท้ายที่มีลักษณะคล้ายดิฟฟิวเซอร์ (Diffuser) ช่วยทำให้ลดแรงต้านอากาศ และอากาศที่ยกตัวรถ ช่วยให้มีรถมีความมั่นคงยิ่งขึ้น

         การออกแบบตัวถังตามหลักแอโรไดนามิก รวมถึงกันชนหลังที่เป็นแนวโค้ง และการออกแบบล้อตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้ Nissan Leaf มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานของอากาศ เพียง 0.28 เท่านั้น

         ผู้ใช้งาน Nissan Leaf จะเห็นตะเข็บการเย็บสีฟ้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรถยนต์ไฟฟ้านิสสัน ทั้งบริเวณเบาะนั่ง ด้านข้างประตู ที่วางแขน และพวงมาลัย รวมทั้งการใช้โทนสีน้ำเงินกับปุ่มสตาร์ต และเกียร์ที่ให้ความรู้สึกถึงเทคโนโลยีล้ำสมัย

         Nissan Leaf ผสมผสานระหว่างมาตรวัดความเร็วแบบอะนาล็อกกับหน้าจอแสดงผลแบบ multi-information ด้านซ้าย หน้าจอสีแบบ Thin-film Transistor (TFT) ขนาด 7 นิ้ว บอกปริมาณกำลังไฟฟ้าที่ใช้ตามการกำหนดค่ามาตรฐาน โดยคนขับสามารถเลือกแสดงข้อมูลตามที่ต้องการ

         หน้าจอแสดงผลตรงกลางแบบ Flush-surface ช่วยให้ผู้ขับขี่สะดวกต่อการเลือกระบบความบันเทิง และใช้งานระบบนำทาง สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส

         รวมทั้งแสดงให้เห็นการทำงานของเทคโนโลยี Safety Shield ระดับการชาร์จไฟของรถ และพลังงานที่เหลืออยู่ รวมถึงระบบเสียง และข้อมูลระบบนำทาง

         แม้ว่าความจุพลังงานของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะเพิ่มขึ้น แต่ขนาดของแบตเตอรี่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นห้องโดยสารจึงรองรับผู้โดยสาร 5 คนได้อย่างสบาย 

         พื้นที่วางสัมภาระด้านหลังของ Nissan Leaf ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเพิ่มพื้นที่มากขึ้น โดยมีความจุ 435 ลิตร (VDA) สามารถเก็บกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 2 ใบ หรือกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง หรือกระเป๋าสัมภาระพกพาขึ้นเครื่อง 3 ใบ นอกจากนี้ยังช่วยให้จัดเก็บสายชาร์จได้ง่ายขึ้น

         Nissan Leaf จะวางจำหน่ายในวันที่ 2 ตุลาคมนี้ที่ประเทศญี่ปุ่น เริ่มต้นที่ 3,150,360 เยน หรือประมาณ 959,000 บาท 

         Nissan Leaf มีกำหนดการส่งมอบช่วงเดือนมกราคม 2018 ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรป ก่อนจะวางจำหน่ายในกว่า 60 ประเทศทั่วโลกต่อไป รวมถึงเตรียมแผนจำหน่ายในประเทศไทยด้วย