3.67K
คนดูทั้งหมด
5 เทคโนโลยีรถแห่งอนาคต NEW FORD GT

• • • Ford GT รุ่นล่าสุด ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เพียงแค่คว้าชัยชนะในสนามแข่งเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนสนามทดสอบเทคโนโลยีใหม่ ๆ และแนวคิดสำหรับรถยนต์ในอนาคตของฟอร์ด

         เมื่อเริ่มต้นออกแบบ Ford GT ในปี 2556 มี 3 เป้าหมายหลัก เป้าหมายแรกคือการใช้ Ford GT เป็นสนามทดลองสำหรับวิศวกรในการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ใหม่ ๆ สำหรับอนาคต และเพื่อทำความเข้าใจในหลักอากาศพลศาสตร์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

         เป้าหมายที่สอง คือการขยายขอบเขตในการใช้วัสดุใหม่ ๆ เช่น คาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา 

         เป้าหมายสุดท้าย คือการคว้าชัยชนะในการแข่งขันเลอม็องส์ 24 ชั่วโมง (Le Mans 24 Hours) ที่กล่าวขานว่าเป็นบททดสอบประสิทธิภาพและความอึดที่ทรหดที่สุด

         ในเดือนมิถุนายน 2560 ฟอร์ดเตรียมส่ง 4 สุดยอดรถแข่ง ฟอร์ด ชิพ กานาสซี เรซซิ่ง ฟอร์ด จีที ลงสนามป้องกันแชมป์การแข่งรถมาราธอน 24 ชั่วโมง ณ สนาม เลอ ม็องส์

         ปี 2559 Ford GT ลงแข่งในหมายเลข 68, 69, 66 และ 67 เข้าเส้นชัยคว้าชัยชนะเป็นอันดับ 1, 3, 4  และ 9 ตามลำดับ และยังนับเป็นปีที่ฟอร์ดเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ที่รถแข่ง Ford GT เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1, 2 และ 3 จากการแข่งขันเมื่อปี 1966

• เพิ่มความหลากหลายแก่หลักอากาศพลศาสตร์ นอกจากรูปลักษณ์ของ Ford GT จะแสดงถึงความเร็วแม้จะจอดอยู่นิ่ง ๆ ทุกส่วนของรถยังได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้ประโยชน์จากหลักอากาศพลศาสตร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย

         เป้าหมายหลัก คือการลดแรงต้านอากาศและเพิ่มแรงกด เพื่อที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการยึดเกาะถนนในขณะเร่งเครื่อง เข้าโค้ง และหยุดรถ

         รูปร่างตามหลักอากาศพลศาสตร์ของ Ford GT จะเปลี่ยนไปตามสภาวะการขับรถ โดยมีส่วนประกอบต่าง ๆ รอบคันรถที่สามารถเคลื่อนที่ได้ เช่น ช่องดักอากาศด้านหน้า และปีกท้ายขนาดใหญ่ที่สามารถปรับขึ้นลงได้

         เมื่อปีกยกขึ้น ฝาช่องลมพิเศษจะปิดเพื่อเพิ่มแรงกด และจะเปิดเพื่อลดแรงกดเมื่อปีกถูกปรับลง ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ Ford GT คงความสมดุลตามหลักอากาศพลศาสตร์ทั่วทั้งคันรถไม่ว่าจะใช้ความเร็วเท่าใดก็ตาม

         ปีกของ Ford GT มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของฟอร์ดที่กำลังจดลิขสิทธิ์ นั่นคือดีไซน์แพนอากาศที่สามารถเปลี่ยนรูปทรงได้เพื่อเพิ่มสมรรถนะของรถให้สูงสุด การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์นี้ยังรวมถึงเจอร์นี แฟลบ (Gurney Flap) หรือปีกขนาดเล็กที่ด้านท้ายรถ ซึ่งเมื่อรวมกับรูปร่างที่ปรับเปลี่ยนได้แล้ว สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของรถได้มากถึง 14 เปอร์เซ็นต์

         เครื่องยนต์ยังมีส่วนช่วยในการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์อีกด้วย เครื่องยนต์ อีโค่บูสท์ 6 กระบอกสูบขนาดเล็กของ Ford GT ช่วยให้ทีมสามารถออกแบบลำตัวของรถให้ได้สัดส่วนที่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เครื่องยนต์ V8 จะให้ได้

         ตัวเทอร์โบชาร์จเจอร์ของเครื่องยนต์ที่วางอยู่ค่อนข้างต่ำ และเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ที่วางอยู่ด้านนอกบริเวณหน้าล้อหลัง ยังช่วยให้สามารถดีไซน์ตัวรถให้เรียวลงตามรูปทรงของเครื่องยนต์อีกด้วย

2

• คาร์บอนไฟเบอร์ คือองค์ประกอบสำคัญใหม่ที่ช่วยให้ Ford GT มีน้ำหนักเบาและรูปทรงโฉบเฉี่ยว ที่เหล็กหรืออะลูมิเนียมไม่อาจให้ได้

         ฟอร์ดทำงานร่วมกับหลากหลายพันธมิตร รวมถึง Multimatic และ DowAksa เพื่อพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ ในการผลิตชิ้นส่วนจากคาร์บอนไฟเบอร์ปริมาณมากให้รวดเร็วขึ้นสำหรับการผลิตในอนาคต

         ตัวอย่างเช่น ครีบยันลอย (Flying buttresses) ที่เป็นจุดเด่นของ Ford GT ซึ่งเชื่อมจากหลังคามาจนถึงบังโคลนหลังนั้น ไม่สามารถผลิตจากเหล็กหรืออะลูมิเนียมได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านการขึ้นรูปโลหะ แต่คาร์บอนไฟเบอร์นั้นสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างตามดีไซน์ที่ซับซ้อนได้ ด้วยการตัดเป็นรูปร่างของชิ้นส่วนต่าง ๆ แล้วนำมาประกอบกัน คล้ายวิธีการตัดเสื้อผ้า และเสริมความแข็งแกร่งด้วยการเชื่อมที่อุณหภูมิสูง

3

• เครื่องยนต์อีโค่บูสท์ 3.5 ลิตร ของ Ford GT คือเครื่องยนต์อีโค่บูสท์ที่ทรงพลังที่สุดของบริษัท และมอบพลังสูงถึง 647 แรงม้า ได้รับการพัฒนาควบคู่กับเครื่องยนต์ GT สำหรับแข่งขัน

         เครื่องยนต์อีโค่บูสท์ 3.5 ลิตร ที่ใช้ในรถกระบะออฟโรดรุ่น เอฟ-150 แรพเตอร์ มีส่วนประกอบเหมือนกับเครื่องยนต์ GT เกือบ 60 เปอร์เซ็นต์

         ในระหว่างแข่งขัน เพลาข้อเหวี่ยงของเครื่องยนต์ทดสอบในรถตัวอย่างรุ่นเดย์โทน่า (Daytona Prototype) แตกเมื่อผ่านการใช้งานอย่างทรหด ด้วยระยะเวลาเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันเซบริง (Sebring) ในปีนั้นค่อนข้างสั้น ทีมจึงตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้เพลาข้อเหวี่ยงรุ่นทดสอบของเอฟ-150 แรพเตอร์ ซึ่งส่งผลให้รถตัวอย่างรุ่นเดย์โทน่าชนะการแข่งขันในปีนั้น

4

• ทีมยังได้พัฒนาเทคโนโลยีลดการรอรอบเทอร์โบ (Anti-lag Turbo) ที่จะช่วยเพิ่มสมรรถนะให้จีทีสามารถออกจากโค้งได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดยเทคโนโลยีนี้ทำงานด้วยการเปิดวาล์วปีกผีเสื้อไว้ขณะที่คนขับไม่ได้เหยียบคันเร่ง ตัวฉีดน้ำมันจะไม่ทำงาน แต่ยังคงความเร็วและการเร่งของรอบเทอร์โบไว้เพื่อให้เครื่องยนต์ตอบสนองไวขึ้น และเร่งเครื่องได้เร็วยิ่งขึ้นเมื่อเหยียบคันเร่ง

         เพื่อเพิ่มสมรรถนะของเครื่องยนต์ให้ดียิ่งขึ้น Ford GT ยังมาพร้อมท่อไอดีใหม่ และหัวฉีดเชื้อเพลิง Dual Fuel-injection แบบตรงเพื่อเร่งการตอบสนองของเครื่องยนต์

         ชุดเพลาส่งกำลังคลัทช์คู่ (Dual-clutch) 7 สปีด ที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์ที่ได้คือการเปลี่ยนเกียร์ที่ลื่นไหลไม่สะดุด และความสามารถในการควบคุมรถที่เหนือชั้น

5

• จุดประสงค์เดียวของการลดน้ำหนักและการพัฒนาเครื่องยนต์ คือการสร้าง Ford GT ที่เร็วที่สุด และเปี่ยมประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่เคยมีมา เมื่อบรรลุจุดประสงค์แล้วจึงแทนที่น้ำหนักที่หายไปด้วยสุดยอดนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทำ Ford GT เร็วขึ้น และขับสนุกยิ่งขึ้นไปอีก นั่นรวมไปถึงระบบกันสะเทือนแบบไฮดรอลิก ที่จะช่วยปรับระดับความสูงของรถได้ง่ายเพียงกดปุ่มเพื่อปรับโหมดการขับขี่

         ในโหมดขับขี่แบบแข่งขัน (Track Mode) ระบบกันสะเทือนจะลดระดับความสูงของรถลง 50 มิลลิเมตร หรือเกือบ 2 นิ้ว โดยโหมดนี้จะยกปีก และปิดช่องลมด้านหน้าเพื่อสร้างแรงกดที่เหมาะสมสำหรับการแข่งขันที่ผู้ขับสามารถสัมผัสได้

         เมื่อระดับความสูงของรถลดลง ค่าคงที่ของสปริง การตั้งค่าวาล์วลมที่เหมาะสม และระบบอากาศพลศาสตร์ที่พร้อมปรับเปลี่ยนตลอดเวลา จะทำงานร่วมกันเพื่อสร้างรถที่เป็นทั้งรถแข่งและรถยนต์โดยสารในคันเดียว

         อีกหนึ่งคุณสมบัติของระบบกันสะเทือนไฮดรอลิก คือ โหมดฟรอนท์ลิฟท์ ซึ่งจะช่วยให้ Ford GT ขับผ่านเนินชะลอความเร็ว และทางขรุขระได้สะดวกขึ้น ผู้ขับสามารถเพิ่มความสูงด้านหน้าของรถได้ตามต้องการที่ความเร็วต่ำกว่า 25 ไมล์ต่อชั่วโมง ระบบจะกลับสู่โหมดปกติโดยอัตโนมัติเมื่อความเร็วขึ้นถึง 25 ไมล์ต่อชั่วโมง

เทคโนโลยีสำหรับทุกคน

• บทบาทของ Ford GT ในฐานะสนามทดสอบเทคโนโลยีนั้นเด่นชัดในทุกส่วนของรถ ด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ เช่น คาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา ที่สามารถนำไปใช้พัฒนาผลิตชิ้นส่วนอื่น ๆ ได้ในอนาคต

         นวัตกรรมบางอย่างถูกนำไปใช้ในรถรุ่นที่กำลังจะออกวางจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้ เช่น เทคโนโลยีแผงหน้ารถดิจิตอลซึ่งคล้ายกับที่ใช้ใน Ford GT จะอยู่ในฟอร์ด มัสแตง ปี 2008 และรถรุ่นใหม่อื่น ๆ

         นอกจากนี้ยังเร่งขยายโหมดขับขี่ตามความต้องการ (Customized Driving Mode) เพื่อช่วยให้ลูกค้าปรับสมรรถนะของรถให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ โหมดขับขี่แบบแข่งขัน (Track Mode) ของ Ford GT จะอยู่ในฟอร์ด มัสแตง และรถเพอร์ฟอร์มานซ์รุ่นอื่น ๆ เพื่อช่วยเพิ่มสมรรถนะการแข่งขัน ในขณะที่ฟอร์ด เอฟ-150 แรพเตอร์ รุ่นใหม่ จะมาพร้อมโหมดบาจาออฟโรด (Baja off-road) 

         Ford GT รุ่นล่าสุด กำลังทยอยออกไปสู่มือลูกค้า ลูกค้าฟอร์ดสามารถคาดหวังว่าจะได้พบกับจิตวิญญาณของ Ford GT ในรถรุ่นใหม่ ๆ อย่างแน่นอน