2.75K
คนดูทั้งหมด
MG เดินทางข้ามทวีป กรุงเทพฯ-ลอนดอน

• • • บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ต้อนรับคาราวานรถสปอร์ตคลาสสิก MG จำนวน 8 คัน กับการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่กรุงลอนดอนในทริป 2017 MG Silk Road Driving Tour รวมระยะทางกว่า 37,000 กิโลเมตร ตลอดระยะเวลา 111 วัน 

         ผู้ร่วมทริปการเดินทาง 2017 MG Silk Road Driving Tour ในครั้งนี้ประกอบด้วยกลุ่มลูกค้าชาวออสเตรเลียที่เป็นแฟนพันธุ์แท้รถยนต์คลาสสิกของ MG รวมทั้งสิ้น 16 คน

         การเริ่มต้นเดินทางจากประเทศไทย เนื่องจากเล็งเห็นว่าประเทศไทยคือศูนย์กลางการดำเนินธุรกิจของ MG และถือเป็นตลาดยุทธศาสตร์ของการผลิตยานยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

         "แบรนด์ MG มีชื่อเสียงมายาวนานร่วม 100 ปี จากความมุ่งมั่นสร้างสรรค์ประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมและความหลงใหลในแบรนด์ที่ถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบันอย่างไม่เสื่อมคลาย ขบวนรถสปอร์ตคลาสสิก MG ทั้ง 8 คัน คือตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมที่แสดงให้เห็นว่า MG ส่งต่อดีเอ็นเอการพัฒนารถสไตล์สปอร์ตที่ทุกคนจับต้องได้ ใช้งานได้ยาวนาน และให้ความสนุกสนานในการขับขี่ 

         "MG คือรถยนต์ที่มีความคุ้มค่าสำหรับทุกคนไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือการเดินทางท่องเที่ยวทุกรูปแบบ ในฐานะตัวแทนของ MG ในประเทศไทย ผมขอให้นักเดินทางทุกท่านขับขี่ถึงจุดหมายในกรุงลอนดอนโดยสวัสดิภาพ"

         นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

         การพัฒนารถยนต์ของ MG เริ่มต้นจากการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต นับตั้งแต่รุ่นโอลด์ นัมเบอร์ วัน (Old Number One) ซูเปอร์สปอร์ตคาร์คันแรกของ MG ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อการชิงชัยด้วยเครื่องยนต์ 1,548 ซีซี เกียร์ 3 สปีด โครงสร้างแชสซีของมอร์ริส คาวลีย์ (Morris Cowley) คว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขันแลนด์ เอนด์ ไทรอัล เมื่อปี ค.ศ. 1925

         หลังจากนั้น MG เดินหน้าพัฒนารถคุณภาพเยี่ยมมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งสร้างชื่อเสียงโด่งดังอีกครั้งกับรถสปอร์ตคลาสสิกตระกูล MGA ที่ผลิตระหว่างปี ค.ศ. 1955-1962

         รุ่น MGB ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั่วทั้งทวีปยุโรปทั้งในด้านคุณภาพและสมรรถนะ MGB นับเป็นหนึ่งในรถสปอร์ตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทั้งในด้านยอดขายและเสียงตอบรับของลูกค้าตลอดระยะเวลาการผลิตระหว่างปี ค.ศ. 1962-1980 ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามและความหลากหลายของสไตล์ตัวถังที่มีทั้งรุ่นหลังคาแข็งและหลังคาผ้าใบ พร้อมเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและทนทาน

         มร. จอห์น บาสเทน หนึ่งในผู้ร่วมเดินทางซึ่งเป็นเจ้าของรถสปอร์ตเปิดประทุน MGB Roadster สีทอง เปิดเผยว่า 

         "รถสปอร์ตคันนี้คือรถในฝันตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ไม่เพียงจะมีเครื่องยนต์ที่แข็งแรงทนทานราวกับหุ่นยนต์ แต่ยังให้ความสนุกสนานทุกครั้งที่ได้ขับขี่ ผมได้ลองขับ MGB คันนี้ขึ้นเขาใหญ่ โดยใช้เส้นทางถนนธนะรัชต์ที่มีทั้งทางโค้งและเนินลาดชัน ผมได้สัมผัสถึงระบบวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยมของตัวรถ ถึงแม้จะผลิตมานานหลายสิบปี แต่ผมก็ยังประทับใจในสมรรถนะที่เร้าใจของตัวรถคันนี้มาก"

         ปัจจุบัน ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของ MG เช่นเดียวกันกับประเทศไทย โดยมีลูกค้าที่หลงใหลในรถยนต์ MG ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นคลาสสิกรวมตัวกันเป็นสมาชิกกลุ่ม MG Club ที่มีสมาชิกกว่า 4,000 คน

         สำหรับการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาวางแผนนานกว่า 2 ปี หลังจากออกเดินทางจากประเทศไทย คณะเดินทางจะขับขี่ผ่านประเทศจีนซึ่งเป็นที่ตั้งของ เอสเอไอซี มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ MG ในประเทศไทยและทั่วโลก

         ก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่ประเทศอังกฤษผ่านทางตะวันออกกลางเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองอาบิงดัน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานแห่งแรกของ MG เมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว

         มร. ไมค์ เฮอร์ริฮี หนึ่งในผู้ร่วมเดินทางในทริปประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ซึ่งเป็นเจ้าของรถสปอร์ตคลาสสิก MGB และรถคลาสสิกของ MG อีก 7 คัน กล่าวว่า 

         "ผมมีโอกาสทดสอบขับรถยนต์  MG รุ่นใหม่ในประเทศไทยที่ศูนย์สร้างประสบการณ์การขับขี่ หรือ เอ็มจี ไดรฟ์วิ่ง เอ็กซ์พีเรียนซ์ เซ็นเตอร์ โดยมีโอกาสทดสอบขับทั้ง MG3 และ MG GS ซึ่งผมมีความประทับใจเป็นอย่างมาก เพราะรถยนต์ MG ยังคงเปี่ยมด้วยบุคลิกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผมได้รับความสนุกสนานเร้าใจในการขับขี่ สมรรถนะที่ให้ความสปอร์ตผสมผสานความปลอดภัยแบบที่ MG ในอดีตเคยตั้งสโลแกนว่า ‘MG Safety Fast’

         "ผมเชื่อว่าเจ้าของรถ MG ชาวไทยจะมีความประทับใจในสมรรถนะและคุณภาพของตัวรถเช่นกัน เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดในโลก เราทุกคนคือสมาชิกของครอบครัวเดียวกัน"