• ฟอร์ดแนะนำเคล็ดลับเพื่อรับมือ และการขับขี่ที่ปลอดภัยเมื่อออกผจญภัยแบบออฟโรด
1. เตรียมตัวให้พร้อม
• สามารถลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ ได้ โดยการวางแผนการเดินทางอย่างละเอียด และนำอุปกรณ์ที่จำเป็นพกติดตัวไปด้วย ตั้งแต่การเติมน้ำมันให้เต็มถัง เตรียมเชือกสำหรับลากรถ พลั่ว ยางสำรอง และชุดอุปกรณ์การเปลี่ยนยาง
• เครื่องปั๊มลมแบบพกพา แผนที่ และเข็มทิศหรือจีพีเอสนำทาง รวมทั้งโทรศัพท์มือถือหรือโทรศัพท์ดาวเทียม เพื่อใช้ในการติดต่อหากเกิดเหตุจำเป็น
2. ทำความคุ้นเคยกับยานพาหนะของคุณ
• การรู้จัก และเข้าใจวิธีการทำงานของรถยนต์ในหลากหลายสถานการณ์นั้น นับเป็นเรื่องที่สำคัญที่คุณควรเรียนรู้การใช้งานต่าง ๆ ทั้งคุณสมบัติ และเทคโนโลยีที่เฉพาะเจาะจงซึ่งถูกออกแบบมา เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่เมื่อขับอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบออฟโรด
• นอกจากการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีของรถแล้ว คุณควรทำความคุ้นเคยกับขนาดของตัวรถ และสมรรถนะของรถยนต์ เพราะในบางครั้งคุณอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องขับรถในที่แคบ ลุยน้ำ หรือขับข้ามสิ่งกีดขวาง
• ในกรณีดังกล่าว คุณจำเป็นต้องทราบขนาดความกว้าง ความยาวของตัวรถ รวมทั้งความสามารถในการลุยน้ำ ลุยโคลน วิธีการหักเข้า และหักออกจากมุม
3. ลดแรงดันของยาง
• ข้อดีในการลดแรงดันของยางนั้นมีอยู่มากมาย หากพื้นผิวยางสามารถสัมผัสพื้นผิวของถนนได้มากเท่าไหร่ ก็จะช่วยให้รถสามารถกระจายน้ำหนักได้สมดุลมากเท่านั้น
• ยางจะสามารถดูดซับแรงกระทบได้มากขึ้น ช่วยปกป้องล้อ และส่วนอื่น ๆ ของยานพาหนะเมื่อขับเคลื่อนบนถนนที่มีพื้นผิวขรุขระ
• การลดแรงแรงดันของยางจะมอบความรู้สึกของการขับขี่ที่นุ่มนวล และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเมื่อออกผจญภัยแบบสมบุกสมบัน
• ยางที่อ่อนเล็กน้อยจะช่วยยึดเกาะถนนที่มีพื้นผิวขรุขระ และสามารถลดแรงกระแทกได้ในเวลาเดียวกัน
• เมื่อขับขี่ด้วยขนาดแรงดันยางที่ลดลงแล้ว จงพยายามหลีกเลี่ยงการหักเลี้ยวกะทันหัน เนื่องจากการหักรถทันทีในขณะที่ยางไม่มีแรงดันเพียงพอ จะเพิ่มโอกาสที่ยางจะแยกออกจากล้อได้
• ทั้งนี้ผู้ขับขี่ต้องเติมลมยางกลับไปเหมือนเดิมทุกครั้งเมื่อกลับไปวิ่งบนถนนปกติ เพราะการขับขี่ด้วยยางที่มีลมไม่เพียงพอบนพื้นผิวถนนปกติจะทำให้ความปลอดภัยในการขับขี่ลดลง และยังกระทบไปถึงอายุการใช้งานของยาง การประหยัดน้ำมันด้วย
4. พยายามใช้ช่วงเกียร์ต่ำที่สุดที่มีอยู่
• การควบคุมให้รถของคุณเคลื่อนที่ด้วยเกียร์ต่ำจะช่วยเพิ่มพลังขับเคลื่อนได้ดียิ่งขึ้น ผู้ขับขี่จำเป็นต้องเพิ่มการควบคุมให้มากขึ้นในขณะขับเคลื่อนอยู่บนพื้นผิวเฉพาะที่ขรุขระ
• ฟอร์ด เรนเจอร์ สามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ความเร็วต่ำ แรงฉุดลากสูง (4x4 Low) เพียงแค่หมุนสวิทซ์ขณะรถจอดหยุดนิ่ง
• ระบบล็อคเฟืองท้ายแบบ Rear Differential Lock ช่วยให้ล้อรถแต่ละล้อหมุนด้วยความเร็วที่ต่างกันได้เมื่อเข้าโค้ง โดยล้อฝั่งด้านนอกโค้งจะใช้วงเลี้ยวกว้างกว่าล้อที่อยู่ด้านในโค้ง
• แต่เมื่อขับบนทางออฟโรด เฟืองท้ายทั่วไปอาจเป็นปัญหาในการขับขึ้นเนินหรือข้ามสิ่งกีดขวาง เนื่องจากเมื่อล้อยกลอยจากพื้นแล้ว เฟืองท้ายจะให้ความสำคัญกับล้อที่ลอยอยู่ ทำให้ล้อนั้นหมุนไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ประโยชน์ ส่วนล้อที่อยู่บนพื้นก็ไม่มีแรงพอที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้
• ระบบล็อคเฟืองท้ายแบบ Rear Differential Lock คือตัวช่วยล็อคล้อหลังทั้งสองด้านให้ได้รับแรงขับเคลื่อนเท่ากัน ดังนั้นเมื่อมีล้อใดล้อหนึ่งลอยอยู่ ล้ออีกข้างจะยังช่วยขับเคลื่อนให้รถเดินหน้าต่อไปได้
• อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบล็อกเฟืองท้ายอาจไม่เหมาะในบางสถานการณ์ เช่น เมื่อต้องใช้วงเลี้ยวแคบ ๆ หรือเมื่อทั้งสี่ล้อสามารถรับน้ำหนักได้เท่ากัน รวมถึงการขับด้วยความเร็วสูงขึ้น และเมื่อขับบนทางลาดเอียง
5. ขับรถด้วยความเร็วต่ำอย่างระมัดระวัง
• การขับรถในอัตราความเร็วต่ำจะช่วยให้ระบบกันกระเทือนรับมือกับแรงกระทบได้ดีกว่า ทำให้การขับขี่นั้นนุ่มนวล และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยผู้ขับขี่จะยังมีเวลาพอที่จะตรวจสอบสิ่งรอบข้าง และมีเวลาไตร่ตรองก่อนจะตอบสนองกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
• การขับรถข้ามสิ่งกีดขวางบางอย่างอาจจะต้องใช้ความเร็วที่เพิ่มขึ้น เช่น การขับขึ้นทางลาดชัน แต่โดยทั่วไปแล้ว ต้องการความเร็วเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยที่มากกว่าสปีดในการเดิน ผู้ขับขี่ควรพยายามขับรถในอัตราความเร็วที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ในขณะเดียวกันระดับความเร็วนั้นก็ควรมากพอที่จะขับขึ้นเนินได้
• พึงระลึกไว้เสมอว่าเมื่อขับรถในอัตราความเร็วต่ำกว่าที่กำหนด คุณจะสามารถเร่งความเร็วเพื่อข้ามสิ่งกีดขวางได้ง่าย ๆ แต่ถ้าคุณขับรถเร็วเกินไป คุณอาจเผชิญกับความเสี่ยงที่มากกว่า และยากต่อการควบคุม
• การเลือกใช้อัตราทดความเร็วต่ำเป็นกุญแจสำคัญของการขับบนพื้นที่ลาดชัน ทรายลึก หิน หรือโคลนลึก เนื่องจากการใช้อัตราทดความเร็วต่ำหมายถึงการใช้งานที่เกียร์ต่ำ จึงเหมาะกับการขับบนทางขรุขระที่ใช้ความเร็วน้อยกว่าการขับบนพื้นผิวเรียบ หรือที่ความเร็วต่ำกว่า 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
• ในการเลือกระบบ 4L ให้จอดรถนิ่งสนิทแล้วขึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ N ก่อน จากนั้นจึงหมุนปุ่มเพื่อเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณส่วนล่างของกระปุกเกียร์ (สัญลักษณ์ 2H, 4H และ 4L) เมื่อมีไฟสัญญาณ 4L ขึ้นที่หน้าปัดควบคุมหลังพวงมาลัยแล้ว จึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ D แล้วออกรถอย่างช้า ๆ
6. เลือกเส้นทางที่ดีที่สุด
• ควรสำรวจเส้นทางด้านหน้า และเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดในการเดินทาง โดยผู้ขับขี่ควรเลือกเส้นทางที่มั่นใจว่าล้อทั้ง 4 ล้อ จะสามารถสัมผัสกับพื้นผิวถนนได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับช่วงล่างของรถ
• หากเส้นทางด้านหน้าค่อนข้างลึก และแคบ รวมทั้งอาจมีสิ่งกีดขวางที่ไม่สามารถมองเห็นได้โดยรอบ คุณควรมีผู้ช่วยในขณะเดินทาง ที่สามารถลงจากรถ และช่วยบอกทาง เพื่อให้ข้ามสิ่งกีดขวางนั้นไปได้
7. ขับเคลื่อนผ่านแอ่งน้ำด้วยความระมัดระวัง
• ก่อนที่จะขับรถข้ามแอ่งน้ำใหญ่ ผู้ขับขี่ควรตระหนักถึงประสิทธิภาพในการลุยน้ำของรถยนต์
• ฟอร์ด เรนเจอร์ สามารถลุยน้ำที่มีความลึกสูงสุดถึง 800 มิลลิเมตร โดยช่วงล่าง และด้านหน้ารถได้รับการออกแบบให้สามารถกระจายแรงดันจากน้ำได้อย่างดี
• เมื่อขับผ่านแอ่งน้ำ ผู้ขับขี่ควรขับรถอย่างช้า ๆ เพื่อป้องกันการกระเด้งของฝากระโปรงรถ และควรรักษาระดับความเร็ว
• ที่สำคัญ ไม่ควรหยุดรถในขณะขับผ่านหลุมลึก เพราะอาจทำให้ชิ้นส่วนของรถยนต์จมน้ำได้
8. โปรดตระหนักไว้ว่า คุณสามารถเลี้ยวรถกลับได้เสมอ
• เมื่อไหร่ที่ผู้ขับขี่ไม่มั่นใจในเส้นทางหรือสภาพพื้นผิวถนน คุณก็สามารถจะเลือกเส้นทางอื่น หรือหาทางกลับรถได้ทุกเมื่อ เพราะความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุดในการผจญภัยแบบออฟโรด
9. บอกเพื่อนหรือญาติของคุณเกี่ยวกับแผน และวันเดินทาง
• เพื่อน และคนในครอบครัวของคุณควรจะได้รับทราบถึงแผนการเดินทาง และเส้นทางที่คุณจะขับรถไป
• โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณกำลังจะเดินทางไปในพื้นที่ที่ไม่สามารถติดต่อได้หรือในที่ที่มีสัญญาณมือถือน้อย อย่าลืมเช็คกับคนในท้องถิ่น หรือแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ในเรื่องสภาพอากาศทั้งก่อน และระหว่างเดินทาง
10. ทำความคุ้นเคยกับข้อกำหนด และกฎหมายของสถานที่ที่คุณจะเดินทางไป
• ก่อนออกเดินทาง คุณควรได้ศึกษาถึงข้อกำหนด และกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้งข้อควรระวังเกี่ยวกับประเทศนั้น ๆ โดยเฉพาะสถานที่อย่างอุทยานแห่งชาติ การขับรถแบบออฟโรดผ่านทางทะเลทรายบางแห่ง คุณจำเป็นต้องติดธงที่รถ เพื่อให้เพื่อนร่วมผจญภัยแบบออฟโรดคันอื่นในทะเลทรายมองเห็น ซึ่งคุณควรใส่ใจ และให้ความสำคัญกับข้อกำหนดเหล่านี้
11
• เมื่อต้องขับลงเนินลาดชัน ขอแนะนำให้เลือกใช้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control - HDC) โดยผู้ขับขี่ต้องจอดรถ และเปลี่ยนเกียร์ไปที่ P ก่อนเปิดใช้งาน
• จากนั้นจึงเปลี่ยนเกียร์ไปที่ D แล้วค่อย ๆ ยกเท้าขึ้นจากแป้นเบรก ปล่อยให้รถคลานลงเนินช้า ๆ เน้นใช้พวงมาลัยควบคุมทิศทางของรถ
• หากต้องการปรับความเร็ว ให้ใช้ปุ่ม Cruise Control (+/-) เพื่อเพิ่มหรือลดความเร็ว
• ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน เหมาะสำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วที่ไม่สูงนัก ที่ความเร็ว 5-32 กิโลเมตรต่อชั่วโมง