ปรับตั้งเครื่องยนต์อย่างถูกต้อง
• เครื่องยนต์ที่มีการปรับตั้งที่ถูกต้องจะช่วยประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้การแก้ไขปัญหาที่สำคัญ เช่น เซ็นเซอร์วัดปริมาณออกซิเจนทำงานผิดปกติ จะสามารถช่วยเพิ่มระยะทางในการขับขี่ได้มากขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ และผู้ขับขี่ไม่ควรละเลยสัญญาณไฟเตือนให้นำรถเข้าไปตรวจสอบ
ตรวจสอบแรงดันลมยาง
• การเติมลมยางที่เหมาะสมสามารถเพิ่มระยะทางในการขับขี่ได้มากขึ้นถึง 3.3 เปอร์เซ็นต์ และช่วยให้ปลอดภัยและใช้งานได้ยาวนานขึ้น
• ยางที่มีลมยางอ่อนอาจทำให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น 0.3 เปอร์เซ็นต์ สำหรับทุกหนึ่งปอนด์ต่อตารางนิ้วของความดันลมยางที่ตกลงทั้งสี่ล้อ
แก้ไขปัญหาสิ่งอุดตัน
• การเปลี่ยนไส้กรองที่อุดตันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันขึ้น 14 เปอร์เซ็นต์
เลือกใช้น้ำมันเครื่องให้เหมาะสม
• การใช้น้ำมันเครื่องตามที่บริษัทผู้ผลิตรถแนะนำจะช่วยเพิ่มการประหยัดน้ำมันขึ้นอีก 1-2 เปอร์เซ็นต์
ตรวจสอบฝาถังน้ำมัน
• ฝาถังน้ำมันที่หลวมหรือปิดไม่สนิท ไม่เพียงแต่จะทำให้ ‘ไฟเตือนรูปเครื่องยนต์’ แจ้งเตือน แต่ยังเป็นเหตุทำให้น้ำมันระเหยไปหลายล้านลิตรในทุก ๆ ปี
• ฝาถังน้ำมันที่หลวมหรือปิดไม่สนิทจะทำให้การประหยัดน้ำมันลดลง 1-2 เปอร์เซ็นต์
หลีกเลี่ยงสิ่งของที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ
• การมีล้อขนาดใหญ่เต็มซุ้มล้อ และยางอัลตราโลว์โปรไฟล์อาจจะทำให้รถดูน่ามอง แต่จะเพิ่มอัตราการบริโภคน้ำมันให้สูงขึ้น
• ล้อและยางที่มีขนาดใหญ่ยังทำให้แรงต้านการหมุนของล้อเพิ่มขึ้น เพิ่มน้ำหนักใต้สปริงของช่วงล่าง (Un-sprung weight) และส่งผลต่อหลักอากาศพลศาสตร์
นำสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกจากรถ
• น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 45 กิโลกรัม จะทำให้ประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันลดลง 2 เปอร์เซ็นต์ และอาจจะลดลงมากขึ้นสำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก
• การบรรทุกของหนักบนราวบนหลังคารถยนต์ทำให้ประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันลดลงถึง 5 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันประมาณหนึ่งในสี่ลิตรของน้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกเผาผลาญเมื่อรถต้องต้านกับแรงลม
ขับรถให้ช้าลง
• การขับรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าจะใช้น้ำมันมากกว่าการรักษาความเร็วให้คงที่
• ควรเหยียบคันเร่งอย่างนุ่มนวล เมื่อออกจากทางแยกหรือสัญญาณไฟจราจร หลีกเลี่ยงการเร่งรถอย่างรวดเร็ว การใช้ความเร็วมากเกินไป และการเบรกอย่างรุนแรง จะทำให้การประหยัดน้ำมันลดลง 33 เปอร์เซ็นต์ บนทางหลวง และลดลง 5 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการขับรถในเมือง
• การขับรถที่ความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้ 10-15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งประหยัดกว่าการขับด้วยความเร็ว 104 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
• ความเร็วที่ช่วยประหยัดน้ำมันมากที่สุด สำหรับรถส่วนมากจะอยู่ระหว่าง 50-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
หลีกเลี่ยงการจอดรถแบบติดเครื่องยนต์นานเกินไป
• รถคันหนึ่งจะกินน้ำมันศูนย์กิโลเมตรต่อหนึ่งลิตร เมื่อเครื่องยนต์ไม่ทำงาน ขณะที่การสตาร์ทรถใหม่จะใช้น้ำมันเพียงเล็กน้อย แต่การจอดรถติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ 15 นาที จะเผาผลาญน้ำมันเกือบหนึ่งลิตร
ใช้ระบบปรับอากาศอย่างชาญฉลาด
• เครื่องปรับอากาศในรถยนต์ลดประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันลง 10 เปอร์เซ็นต์
• หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องปรับอากาศหากขับขี่ด้วยความเร็วต่ำกว่า 64 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยสามารถปิดแอร์และเปิดหน้าต่างแทนได้ถ้าอากาศดี
• แต่ถ้าหากขับด้วยความเร็วเกินกว่า 72 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วเปิดหน้าต่างรับอากาศจากด้านนอก แรงฉุดของลมที่ไหลเวียนเข้ามาทางหน้าต่างจะทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าการเปิดแอร์
ใช้เกียร์สูง
• เมื่อขับรถด้วยเกียร์ธรรมดาให้ใช้เกียร์สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อรักษารอบเครื่องยนต์ให้ต่ำเนื่องจากการหมุนรอบเครื่องยนต์ต่ำจะใช้น้ำมันที่น้อยกว่า แต่ไม่ควรขับขี่เช่นนี้มากเกินไป เพราะจะฉุดกำลังเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์หยุดทำงาน
• หากขับขี่รถเกียร์อัตโนมัติ ควรผ่อนคันเร่งเล็กน้อย ในจังหวะที่ระบบเกียร์เปลี่ยนไปสู่เกียร์ที่สูงขึ้น