8.81K
คนดูทั้งหมด
NEW CR-V เจเนอเรชั่นที่ 5 กับ 5 เทคโนโลยีใหม่ > ชมคลิปวิดีโอ

• • • วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2560 พร้อมเปิดตัว NEW HONDA CR-V เจเนอเรชั่นที่ 5 ในประเทศไทย เป็นครั้งแรกสำหรับขุมพลังดีเซล i-DTEC DIESEL TURBO พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด

         ก่อนถึงวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ วันอังคารที่ 14 มีนาคม 2560 บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด นำคณะสื่อมวลชนร่วมทดสอบสมรรถนะ NEW HONDA CR-V ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์

         นี่คือ 5 เทคโนโลยีใหม่ของ NEW HONDA CR-V ที่คุณจะต้องไม่พลาด !

1

• เครื่องยนต์ดีเซล i-DTEC DIESEL TURBO 1.6 ลิตร พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม (Earth Dreams Technology) ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า PS (118 กิโลวัตต์) ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที มาตรฐานไอเสีย EURO 5

         นอกจากเครื่องยนต์ดีเซล NEW HONDA CR-V ยังมาพร้อมอีกหนึ่งตัวเลือกกับเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.4 ลิตร โดยทั้งสองเครื่องยนต์มีระบบขับเคลื่อนให้เลือกทั้ง AWD และ 2WD

2

• NEW HONDA CR-V ไม่มีคันเกียร์อีกต่อไป แต่จะมีปุ่มให้กดเลือกตำแหน่งเกียร์ 

         ระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ได้รับการออกแบบให้มีอัตราทดเกียร์ที่รองรับการใช้งานจริงในทุกสภาพการขับขี่ ด้วยอัตราทดเกียร์ที่มากขึ้นถึง 9 สปีด จะช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ ให้อัตราเร่งที่ดีตั้งแต่การออกตัว ตอบสนองต่อการขับขี่และการเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวล พร้อมช่วยลดเสียงรบกวนขณะขับขี่และให้การประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม

         เมื่อต้องการกำลังในการเร่ง โดยผู้ขับขี่กดคันเร่งเพิ่ม ระบบจะคำนวณอัตราทดเกียร์เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์แบบก้าวกระโดดจากเกียร์ 9 มายังเกียร์ 5 และจากเกียร์ 7 มาเกียร์ 4 โดยไม่ต้องไล่ระดับ รวมถึงการเปลี่ยนเกียร์ 2 ระดับ หรือ 1 ระดับ รูปแบบอื่น ๆ ด้วย 

         ทั้งนี้ การเปลี่ยนเกียร์ในรูปแบบอื่น ๆ ยังคงต้องอาศัยการทำงานที่ต่อเนื่อง ผ่านการไล่ระดับเกียร์เพื่อเปลี่ยนเกียร์ไปยังระดับที่ต้องการได้

         มีระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) 

         ไม่ต้องห่วงว่าจะปลดเกียร์ว่างอย่างไร เพราะ NEW HONDA CR-V ซ่อนก้านปลดเกียร์ว่างไว้ข้างคอนโซลเกียร์ด้านขวา มีฝาปิดมิดชิด

3

• เบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง ทุกรุ่น

         เบาะแถวที่ 2 และแถวที่ 3 พับได้

         เบาะแถวที่ 2 เลื่อนหน้า ถอยหลังได้

         ประตูฝั่งผู้โดยสารด้านหลังสามารถเปิดกว้างได้ถึง 90 องศา

         ห้องโดยสารหรูหรา กว้างขวาง ตกแต่งด้วยลายไม้ด้าน

         เบาะหนัง เบาะปรับไฟฟ้าคู่หน้า

         ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)

         หน้าจอ TFT จะแสดงตัวเลขความเร็วแบบดิจิตอล ส่วนรอบเครื่องยนต์แบบอะนาล็อก

         มีช่องแอร์บนดาน 4 ช่อง สำหรับผู้โดยสารเบาะแถวที่ 2 และ 3 ปรับแยกอิสระ

         ขณะเดียวกันก็มีช่องแอร์สำหรับเบาะแถวที่ 2 อีกต่างหาก จากด้านหลังกล่องเก็บของระหว่างเบาะคู่หน้า

         ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์และระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)

4

• ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ E-DPS ใหม่ ทำงานโดยเปลี่ยนการควบคุมการส่งกำลังไปยังล้อหลังด้วยระบบไฟฟ้า ตอบสนองการทำงานได้รวดเร็วพร้อมกับให้แรงบิดที่ล้อหลังสูงขึ้น อีกทั้งเพิ่มความแม่นยำของการปรับแรงบิดที่ล้อหน้าและล้อหลังให้สมดุล พร้อมด้วยระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (Agile Handling Assist-AHA)

         ระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย (Motion-Adaptive Electric Power Steering-MA-EPS) ให้การทรงตัวขณะขับขี่ที่ดีเยี่ยม ทั้งในการเข้าโค้ง หรือทางลาดชัน เป็นต้น

         มีกราฟฟิกแสดงระบบ AWD บนหน้าปัด

         ช่วงล่างใหม่ ออกแบบให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ แรงเฉี่อยต่ำ โดยระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท และระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบ E-type มัลติลิงก์

5

• ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า เพียงยื่นขาไปใต้กันชนหลัง ประตูจะเปิดโดยอัตโนมัติ

ลองขับ

• เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่สนามแจ้งอุณหภูมิบนผิวแทร็ค 53 องศาเซลเซียส 

         NEW HONDA CR-V จอด 1 คัน สำหรับให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปคลุกวงใน ส่วนอีก 1 คัน สำหรับการลองขับรอบสนาม ความยาว 4,554 เมตร มีโค้งขวา 7 โค้ง โค้งซ้าย 5 โค้ง ท่านละ 2 รอบสนาม

         NEW HONDA CR-V ดีไซน์แข็งแรง บึกบึน ไฟหน้า-ท้ายแบบ LED โดยรุ่นที่นำมาให้ทดลองขับเป็นเครื่องยนต์ดีเซล i-DTEC DIESEL TURBO ยางขนาด 235/60 R18 ระบบขับเคลื่อน AWD

         อันดับแรกต้องกล่าวถึงเครื่องยนต์ดีเซล ที่มีคาแร็คเตอร์แบบนุ่มนวล ออกตัวเร็วนะครับ แม้ไม่แสดงอาการกระชากหลังให้ติดเบาะ ไล่ระดับความเร็วได้ต่อเนื่อง

         เห็นตัวถังมิติใหม่ ใหญ่กว่าเดิม แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที พารถแล่นฉิวช่วงเดินทาง 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้อย่างสุนทรีย์ มีกำลังเหลือให้เร่งแซงแน่นอน 

         การเปลี่ยนเกียร์ที่สมูทในตำแหน่งเกียร์ D ส่วนในการขับขี่รอบที่ 2 ลองกดปุ่มเปลี่ยนมาใช้โหมด S แล้วคอนโทรลด้วย Paddle Shift เอ็นจินเบรกไม่ดึงจนผงะ หรือเรียกว่าแทบไม่รู้สึกถึงความก้าวร้าวด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าเกียร์ลูกนี้มีความเฉลียวฉลาดในระดับอัจฉริยะ คำนวณตำแหน่งเกียร์ให้สัมพันธ์กับความเร็ว คือคิดแทนเราทุกเสี้ยววินาทีเพื่อความปลอดภัย ไม่เปลี่ยนตามมือตามใจผู้ขับขี่หากคิดสูตรไม่ลงตัว (ตำแหน่งเกียร์ต้องสัมพันธ์กับความเร็ว)

         ที่อดประหลาดใจไม่ได้สำหรับ NEW HONDA CR-V คือความเงียบเมื่ออยู่ในห้องโดยสาร ทั้งเสียงยาง เสียงลม ถูกกันไว้ภายนอกห้องโดยสารทั้งหมด 

         นอกจาก 5 เทคโนโลยีใหม่ของ NEW HONDA CR-V ที่แนะนำเบื้องต้นแล้ว มีทั้งเห็นด้วยสายตา ส่วนบางอย่างต้องลองขับด้วยตัวคุณเอง ก็มาบอกกล่าวไว้ก่อนการเปิดตัว ทั้งการตอบสนองของเครื่องยนต์ การเปลี่ยนเกียร์ราบลื่น 

         NEW HONDA CR-V ทำให้คุณขับสนุกได้ ซึ่งไม่ใช่ทางตรงครับ แต่เป็นแฮนด์ลิ่งบนทางคดโค้ง หรือถนนขึ้น-ลงบนขุนเขา ที่มาพร้อมความปลอดภัย แม้ช่วงล่างออกแนวนุ่มนวล นั่งสบายทั้งครอบครัว ทว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ E-DPS ใหม่ รวมถึงระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (Agile Handling Assist-AHA) ช่วยให้ NEW HONDA CR-V ลดการโคลงตัว มีเสถียรภาพยามเข้าโค้ง สามารถคอนโทรลพวงมาลัยซ้าย-ขวาอย่างนุ่มนวล และส่งพลังออกจากโค้งด้วยเครื่องยนต์ดีเซล i-DTEC DIESEL TURBO ได้อย่างต่อเนื่อง

         วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2560 พบกันครับ NEW HONDA CR-V

 

เรื่อง : พิชัย มูลจัด

ภาพ : HONDA

8,300,000 คัน

• CR-V ทั้ง 4 เจเนอเรชั่นก่อนหน้านี้ มียอดขายรวมกว่า 8,300,000 คัน ใน 130 ประเทศทั่วโลก

 

18.9

• เครื่องยนต์ดีเซล i-DTEC DIESEL TURBO เคลมอัตราการประหยัดน้ำมัน 18.9 กิโลเมตรต่อลิตร 

 

141

• NEW HONDA CR-V เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอัตราที่ต่ำเพียง 141 กรัมต่อกิโลเมตร

 

2.2

• NEW HONDA CR-V พวงมาลัยหมุนสุด 2.2 รอบ เทียบกับเจเนอเรชั่นที่ 4 ลดลง 0.9 รอบ

 

18

• NEW HONDA CR-V ขนาดยางใหญ่ขึ้น จากเดิม 225/60 R18 เป็น 235/60 R18

• ขนาด 225/65 R17 เป็น 235/65 R17

• ยางอะไหล่พร้อมล้อแม็ก ไซส์จริง ขนาดเดียวกับที่ติดมากับรถ

• เพิ่มขนาดดิสก์เบรกหน้า ขนาด 315 มิลลิเมตร (เพิ่ม 19 มิลลิเมตร) ดิสก์เบรกหลัง ขนาด 310 มิลลิเมตร (เพิ่ม 5 มิลลิเมตร)

ระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ 2 จังหวะ (2-stage Turbocharger)

• ผสานการทำงานอย่างชาญฉลาด ด้วยการควบคุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่รวดเร็วและแม่นยำเพื่อให้การตอบสนองทั้งกำลังแรงบิดและอัตราเร่งได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกการขับขี่ ประกอบด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ทำงานในช่วงแรงดันสูง (High Pressure Turbo) และเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ทำงานในช่วงแรงดันต่ำ (Low Pressure Turbo)

         โดยจะทำงานร่วมกันตั้งแต่รอบต้นที่ต้องการอัตราเร่งเพื่อใช้ในการออกตัว ซึ่ง High Pressure Turbo มีการติดตั้ง Variable Geometry Turbocharger (VGT) เพื่อช่วยในการตอบสนองต่ออัตราเร่งที่รวดเร็วทันใจในช่วงรอบต้น ช่วยลดการสูญเสียกำลังของเครื่องยนต์โดยไม่จำเป็น อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน

         เมื่อต้องการอัตราเร่งในช่วงความเร็วสูง Low Pressure Turbo ที่ควบคุมการทำงานผ่าน Waste gate Type Turbocharger จะช่วยเสริมการทำงานเพื่อให้ได้กำลังและแรงบิดที่สูงขึ้นในการขับขี่ โดย High Pressure Turbo และ Low Pressure Turbo จะมีการสลับการทำงานในช่วงกลางที่ความเร็วคงที่ เมื่อระบบทำงานผสานกัน จะให้ประสิทธิภาพเพื่อการเผาไหม้อย่างสูงสุด

การระบายความร้อนของไอดี (Intercooler)

• ระบบจะทำหน้าที่ระบายความร้อนของไอดีที่ถูกอัดมาจากการทำงานของเทอร์โบชารจ์เจอร์ซึ่งมีความร้อนสูงให้เย็นตัวลงก่อนที่จะผ่านเข้าห้องเผาไหม้ ทำให้มวลอากาศโดยรวมเล็กลง เพื่อนำอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้ปริมาณที่มากขึ้น ทำให้การเผาไหม้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 

ระบบการจ่ายน้ำมันแบบรางร่วม (Common Rail)

• ระบบจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อช่วยควบคุมแรงดันในรางให้เหมาะสม ด้วยการคำนวณรอบเครื่อง ปริมาณการฉีดน้ำมัน อุณหภูมิ และไอเสีย ทำให้การฉีดน้ำมันจากหัวฉีดทุกตัวมีความเสถียร และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย

ระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหลายจุด (Multi Injection) 

• ระบบหัวฉีดน้ำมันจะทำงานแปรผันให้เหมาะสมกับรอบการทำงานของเครื่องยนต์ โดยจะคำนวณปริมาณและจังหวะในการฉีดน้ำมันกับการทำงานของรอบเครื่องในขณะขับขี่ ให้ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยในเรื่องอัตราประหยัดน้ำมันและลดการสั่นสะเทือนจากการทำงานของเครื่องยนต์

ระบบหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ในรอบเดินเบา (Idle Stop System)

• ระบบจะลดการทำงานของเครื่องยนต์ที่ไม่จำเป็น โดยเครื่องยนต์จะหยุดการทำงานโดยอัตโนมัติขณะที่รถจอดนิ่ง และระบบจะสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง เมื่อปล่อยเบรกหรือเหยียบคันเร่งในกรณีที่ระบบ Brake Hold ทำงาน ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงและช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น